สำหรับใครที่เผลอบอกเลขบัตรเครดิตไปเรียบร้อย แล้วยังไม่โดนหักเงินในบัตร แนะนำให้รีบโทรอายัดบัตรกับธนาคารเจ้าของบัตรด่วนเลยครับ เพราะขั้นตอนการทวงเงินคืนจะยาวนานและวุ่นวายกว่ามาก
การขายประกันทางโทรศัพท์ ส่วนตัวผมให้ว่ามันเป็นการทำธุรกิจที่สีเทาเอามาก ๆ เพราะเราไม่ได้มีโอกาสตัดสินใจและอ่านเงื่อนไขของตัวกรมธรรม์ใด ๆ เลย ทำให้เราเป็นฝ่ายโดนรุกอยู่อย่างเดียวด้วยกลยุทธทางจิตวิทยาจากพนักงาน ฉะนั้นผมจึงอยากจะมาแนะนำวิธีการเอาตัวรอดเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เผลอตกกระไดพลอยโจนบอกเลขบัตรไป ซึ่งตัวผมเองก็เกือบที่จะพลาดไปแล้วเช่นกัน
1. ลงแอปพลิเคชั่น Whoscall
เริ่มจากการป้องกันชั้นแรกก่อน ถ้ามีใครใช้ Smart Phone ผมแนะนำให้ลงแอปพลิเคชั่น Whoscall ติดเครื่องเอาไว้ โดยหลักการทำงานของ จะเป็นการเอาเบอร์โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาไปเทียบกับฐานข้อมูลแล้วแสดงให้เราเห็นว่าเบอร์ดังกล่าวมาจากใคร โดยที่เราไม่ต้องบันทึกเบอร์นั้นไว้ในเครื่องเรา
อย่างไรก็ตามถ้าเกิดคุณมีเหตุจำเป็นที่ต้องติดต่อกับธนาคาร หรือว่าได้สมัครผลิตภัณฑ์ทางการเงินอะไรเอาไว้ มันก็อาจเพิ่มโอกาสให้เราพลาดการติดต่อได้เช่นกัน นอกเหนือจากนี้ ด้วยความที่ตัวแอปพลิเคชั่นมีการเข้าถึงฐานข้อมูลอยู่ตลอดตอนที่มีคนโทรเข้ามา ทำให้บางทีก็อาจจะทำให้แบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนหมดเร็วขึ้นเล็กน้อย
2. ตั้งสติก่อนรับเบอร์แปลก
โอกาสที่เราจะได้ฟังเรื่องดีจากการรับเบอร์แปลก มีน้อยพอ ๆ กับการถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1
จากข้อความด้านบนเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมเอง เพราะมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นจากการรับโทรศัพท์เบอร์แปลกหน้า ที่เป็นการโทรมาแจ้งว่าผมได้รับรางวัลจากการจับฉลาก นอกเหนือจากนั้นแล้วส่วนใหญ่ก็จะเป็น Telesale และถี่รองลงมาจากนั้นก็จะเป็นสถาบันโพลล์ต่าง ๆ ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องดีถ้าเราจะมีสติอยู่ตลอดเวลาก่อนรับสาย และเตรียมรับมือกับกลยุทธทางจิตวิทยาที่กำลังจะถาโถมเข้าใส่ในอีกอึดใจ
3. ตัดสาย
เมื่อเรามีสติที่พร้อมรับมือ และจับใจความได้ว่าโทรมาเสนอขายผลิตภัณฑ์ การตัดสายก็ถือว่าเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลมไม่ให้เราโดนหว่านล้อมด้วยข้อความที่ทางพนักงานกำลังจะพูดใส่เข้ามา ส่วนตัวไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องเสียมารยาท เพราะถ้าเราเปิดช่องเมื่อไร จะยืดเยื้อแน่นอน หรืออย่างน้อยอาจจะบอกว่าไม่สนใจครับ แล้วกดวางได้เลย
4. ถ้ามีข้อสงสัยอะไรในเนื้อหาระหว่างบทสนทนา ต้องพยายามเก็บข้อมูลให้มากที่สุด
หนึ่งในกลยุทธยืดเวลาของ Telesale ที่มักจะได้ผล คือการพูดในเชิงว่าเราได้เคยใช้งานผลิตภัณฑ์อะไรบางอย่างไว้ แล้วเค้ากำลังจะต่ออายุให้ และจำให้เราบอกเลขบัตรเครดิตเพื่อยืนยัน ตรงจุดนี้เองจะเป็นช่องทางที่ทำให้เราเกิดความไขว้เขว จนอาจจะเผลอบอกข้อมูลสำคัญไป ฉะนั้นเราต้องเล่นบทเป็นผู้ถามบ้าง ยิงคำถามเข้าไปให้ต้นสายคายข้อมูลออกมา โดยข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็ได้แก่
- ชื่อบริษัทโบรคเกอร์ที่พนักงานคนนี้สังกัด
- ชื่อจริง, นามสกุล และเลขประจำตัวนายหน้าคนที่เรากำลังคุยด้วย **สำคัญมาก**
- ธนาคาร หรือหน่วยงานอะไรเป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่เรากำลังจะซื้อ
สาเหตุที่เราต้องถามข้อมูลเพราะเราสามารถนำมันมาเป็นเครื่องมือในการเดินเรื่อง และระบุตัวตนได้เวลามีปัญหา ตัวอย่างเช่นถ้าเราจะส่งเรื่องร้องเรียงกับทาง คปภ. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมธุรกิจประกันภัย) การมีข้อมูลพวกนี้เตรียมไว้อยู่แล้ว จะช่วยเร่งกระบวนการทำงานของคณะกรรมการให้เร็วขึ้นเพราะสามารถระบุตัวได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดก็คือวิธีการรับมือ เพราะเราไม่รู้ว่าวันดีคืนดีเราจะได้รับโทรศัพท์จากพวกเขาเหล่านี้เมื่อไร ถ้าเราพร้อมจะได้ป้องกันตัวเองได้ทันท่วงที หรือดีกว่านั้น คือโต้กลับไม่ให้โบรคเกอร์พวกนี้ ใช้วิธีที่ไม่ค่อยเป็นธรรมในการหากิน