ญี่ปุ่นนับว่าเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดฮิตของชาวไทยในปัจจุบันไปเสียแล้ว เพราะปัจจุบันเราเข้าญี่ปุ่นได้ 15 วันแบบไม่ต้องขอวีซ่า พร้อมกับมีสายการบินโลว์คอสต์มายั่วยวนใจมากมาย ทำให้ชาวไทยต่างก็อยากที่จะไปสัมผัสประเทศนี้กันทั้งนั้น
จุดเด่นของญี่ปุ่นก็เห็นจะเป็นภูมิประเทศแบบเกาะในเขตหนาวห่างไกลเส้นศูนย์สูตร ทำให้ทุกอนูของความเป็นญี่ปุ่นดูตื่นตาตื่นใจสำหรับชาวไทยไปเสียหมด แน่นอนว่าอีกจุดขายที่ดึงดูดไม่แพ้กันก็คืออุปนิสัยของชาวญี่ปุ่นที่เป็นมิตรกับนักท่องเที่ยวสุดๆ จนทำให้ทุกคนหลงไหล และลดความระวังตัวแบบเดียวกับที่เคยมีตอนอยู่ในไทยลงไป จนทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ผมจะมาแชร์ให้อ่านในครั้งนี้
ในช่วงเย็นวันหนึ่งหลังจากเพลินกับการตะลุยโตเกียวในโปรแกรมฟรีเดย์ เราก็มาหยุดกันที่ชินจูกุ ย่านช็อปปิ้งขนาดใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเข้า-ออก หลายล้านคนต่อวัน ทางกลุ่มของผมหลังจากที่ได้ซื้อของจนหมดแรงแล้ว ก็ได้เวลาหาข้าวเย็นทานกัน โดยเราได้กางแผนที่ชินจูกุเวอร์ชั่นภาษาไทยที่แพร่หลายในโลกโซเชียลขึ้นมาดู แล้วตรงดิ่งไปยังโซนร้านอาหาร ด้วยความหวังว่าจะได้ปิดฉากมื้อสุดท้ายในโตเกียวแบบฟินาเล่ โดยเป้าหมายหลักเราคือร้านราเม็งแบบตู้กด เนื่องจากสั่งง่าย สะดวก ไม่ต้องสนทนาภาษามือกับคนในร้านให้มากความ
ระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น เราก็ได้พบกับมนุษย์ชุดกันหนาวสีดำหน้าตาค่อนข้างเป็นมิตรที่ออกมายืนเรียกแขกหน้าร้าน โดยส่งสายตาอ้อนวอน พร้อมเอ่ยประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงเจแปนใจความประมาณว่า “เฮ้คุณๆ นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้น เดินมาหนาวๆ แวะทานอาหารที่ร้านโผมหน่อยหมาย เรามีโต๊ะใหญ่สำหรับ 4 คนด้วยนะ (we have big table – ประโยคนี้จำได้แม่น)”
หน้าตามนุษย์เสื้อกันหนาวสีดำที่ลากเราลงไปด้านล่าง
หน้าตามนุษย์เสื้อกันหนาวอีกคน ในขบวนการลากลูกค้าลงใต้ดิน
ด้วยความเหนื่อยและหิว เราจึงตกลงว่าจะกินร้านของไอ่หนุ่มนี่แบบไม่มีลังเล เพราะจุดที่มันยืนโบกอยู่ก็คือหน้าร้านราเม็งแบบมีตู้กด แต่พอกำลังจะเดินเข้าร้านป๊าบบ ปรากฏว่าพี่แกพาวกลงบันไดชั้นใต้ดินไปทันที ณ ตอนนั้นในใจคิดออกมาดังๆ ว่า “กูโดนแล้ว…”
ภาพตัดมายังด้านล่างภายในร้าน มีพนักงานผู้หญิงออกมาต้อนรับ พร้อมลากเราไปนั่งที่โต๊ะด้วยความกระตือรือร้น ผมเห็นท่าว่าโดนแน่ๆ เลยจะลากคนในกรุ๊ปออกจากร้าน… “TOILET!!” ผู้ติดตามที่มาด้วยกันหนึ่งท่านเอ่ยปากถามหาที่ปลดทุกข์ เนื่องจากอั้นมานานเพราะมัวแต่เพลินกับการช็อปปิ้ง เมื่อได้ตำแหน่งแล้วก็รีบเดินปิดประตูเข้าไปทันที เท่ากับว่า ณ ตอนนี้แทบจะหมดสิทธิ์ชิ่งออกจากร้านอันเดอร์กราวด์แห่งนี้ไปซะแล้ว…
“ดิส อีส อ้าววะ เมรุนู (This is our menu)” บริกรชาวอาทิตอุทัยยื่นเมนูเล่มเป้งสีดำมาให้ถึงหน้า พร้อมเปิดหน้าแนะนำอาหารเป็นภาษา “ญังกฤษ” แบบรวดเร็ว ฟังทันบ้างไม่ทันบ้างช่างมัน แต่ที่ตะหงิดใจที่สุดคือราคาอาหารที่โดนขีดฆ่าหมดทุกอย่าง
“7ครก -ึงปล่อยให้ลูกมาขีดเมนูเล่นแบบนี้แล้วผมจะตัดสินใจสั่งอาหารยังไงwa” ผมอุทานในใจเบาๆ ทว่าเหมือนมันจะได้ยิน พี่แกเลยหยิบแผ่น A4 เคลือบพลาสติก ที่มีรูปราเม็งอยู่ตรงกลางขึ้นมาให้ดู ผมไม่รอช้ารีบสวนไปด้วยภาษาญี่ปุ่นเพื่อจะถามราคา
“อิคุราเดสึก๊ะ?” บริกรสายตาสั้นทำหน้ามึน เหมือนโดนเกี๊ยะถีบหน้า
“อิ-คุ-รา-เด๊ะ-สึ-ก๊ะ?” หนุ่มไทยวัยกลางคนพยายามสื่อสารอีกรอบด้วยความเร็วในการออกเสียงที่ช้าลง
สักพักพี่แกก็หันหลังไปหยิบกระดาษฉีกแผ่นเล็กออกมา พร้อมเขียนราคาลงไป “1,080 yens for normal size ramen and 1,180 yens for extra size.” พวกเราสี่คนพร้อมใจกันสั่งเมนูนี้ทันที และสั่งชาเขียวร้อนเป็นเครื่องดื่มแบบตัดความรำคาญ เพราะเห็นว่าบริกรพยายามพูด one drink one set มาตลอด
หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนสั่งอาหาร บริกรแว่นคนเดิมก็เดินไปหยิบสลัดญี่ปุ่นใส่ถ้วยเล็กๆ มาเสิร์ฟให้เรา โดยให้อารมณ์ประมาณเส้นบุกยำราดซอสงา แต่ผมไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยขอยกรูปด้านล่างมาประกอบเพื่อให้ไม่เสียอรรถรสในการรับชม
รูปจำลองสลัดที่ยกมาเสิร์ฟ ช่วยจินตนาการว่ามันเป็นสลัดเส้นบุกราดซอสงาละกันนะจ๊ะ
ขอขอบคุณรูปจาก i eat food ที่เอื้อเฟื้อรูปสลัดเกาหลีมาประกอบเรื่องเล่าญี่ปุ่น
“Japanese salad that every local people eat everyday.” พี่แว่นส่งประโยคไวยกรณ์เพี้ยนเชื้อเชิญให้ลองชิมสลัดของแกที่ยกมาวาง สัญชาติญาณนักท่องเที่ยวแบบเราๆ มีคนยกของมาให้ลองก็ต้องนั่งชิมกันเป็นธรรมดา โดยลืมคิดไปว่ามันจะกลับมาคิดตังทีหลังหรือเปล่า? แต่ช่างมันเถอะ ด้วยความหิวเรา 4 คนจึงจัดการสลัดถ้วยดังกล่าวด้วยความรวดเร็ว
ตลอดช่วงเวลาที่รออาหารเราก็มีเวลาได้สังเกตุร้านอย่างคร่าวๆ คือด้านในเป็นร้านขนาดประมาณ 3×7 เมตร โดยประมาณ บนหัวมีเครื่องดูดควัน มีโต๊ะในร้าน 7 โต๊ะ ตอนที่เราเดินเข้าไปนั้นมีชาวญี่ปุ่นนั่งอยู่ 2 โต๊ะ มีชาวต่างชาติหลงมาแบบเราอีก 1 โต๊ะ ครัวจะอยู่ลึกสุด คนทั่วไปมองไม่เห็นว่าพ่อครัวกำลังทำอะไร ซึ่งค่อนข้างจะผิดวิสัยของร้านอาหารในญี่ปุ่นที่นิยมโชว์วัตถุดิบและการปรุงให้ลูกค้าได้ซึมซับความอร่อยแบบเข้าถึง
รูปราเมนตัวอย่างเพื่ออรรถรสในการชม(ของจริงกากกว่านี้มาก)
ขอขอบคุณรูปจาก Wikimedia
ผ่านไปไม่นานบริกรสายตาสั้นของเราก็ยกราเม็งมาเสิร์ฟที่โต๊ะ สภาพในชามคือบะหมี่ต้มหมูชาชู 1 แผ่นถ้วน พร้อมเส้นราเม็งหนาเตอะและผักกาดหั่นประปรายแซมด้วยถั่วงอกไซส์มาตรฐาน น้ำซุปในชามดูขุ่นๆ จากที่ประเมินด้วยสายตาโดยรวมน่าจะพอกินได้ ทว่าหลังจากตักขึ้นมาชิมคำแรก…. ก็รู้เลยว่าทำเองที่บ้านก็ได้ นี่มันก๋วยเตี๋ยวน้ำใสบ้านเราชัดๆ ทุกอย่างจืดสนิทไร้อารมณ์ความเป็นญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง เราสี่คนเงยหน้ามาสบตากัน และรีบจ้วงให้ก๋วยเตี๋ยวในชามหมด จะได้ออกไปจากร้านบ้าบอนี้สักที
หลังจากกินอิ่มก็ได้เวลาคิดเงิน โดยคร่าวๆ แล้วเราคำนวณไว้ว่าน่าจะโดนสักประมาณ 5,000 เยน แต่ใบเสร็จที่ออกมานั้นไม่ใช่ ราเม็ง 4 ชามนี้มีมูลค่าถึง 9,251 เยน! โดยค่าชาร์จที่เพิ่มเข้ามาก็คือน้ำชาและสลัดญี่ปุ่นที่ยกมาให้แบบไม่ได้สั่งนี่เอง เดชะบุญโชคดีที่ไม่สั่งอะไรเพิ่มเติม ไม่งั้นคงจะโดนหนักหน่วงกว่านี้แน่นอน กลุ่มของผมจึงรีบควักเงินจ่ายตังไปให้จบๆ และรีบเดินออกจากร้านอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะเสียท่าโดนชาร์จค่าเสียหายอะไรเพิ่มอีก
จำขึ้นใจว่าชีวิตหนึ่งเคยแวะมากินชาเขียวถ้วยละร้อย…
เรื่องทั้งหมดนี้ต้องบอกว่าเป็นความประมาทของกลุ่มผมเอง ที่ไม่ถามไถ่ให้ละเอียดก่อนจะตกลงปลงใจเชื่อมนุษย์เสื้อกันหนาวสีดำที่มายืนเรียกแขก ถ้าเราคุยกับเค้าให้รอบคอบกว่านี้ก็อาจจะไม่ต้องมาเจ็บตัวกินก๋วยเตี๋ยวจืดๆ ในราคาสูงลิบลิ่วแบบนี้
ก็อยากจะฝากให้ท่านที่เพิ่งไปญี่ปุ่นครั้งแรกให้ระวังตัว เพราะคนไม่ดีมันไม่มีสัญชาติหรอกครับ จงมีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท เผื่อว่าเวลาที่โชคชะตาเหวี่ยงคนเหล่านี้มาเจอะเจอกับเรา จะได้รับมือได้อย่างมีสติและเจ็บตัวน้อยที่สุดครับผมมม