หน้าฝนแบบนี้จะวางแผนไปเที่ยวไหนก็ดูกร่อยไปซะหมด ฉะนั้นแล้วการไปขลุกตัวอยู่แต่ในโรงแรมจึงถือว่าเป็นธีมของการพักผ่อนที่น่าสนใจเพื่อที่จะเบรคจากความวุ่นวายมาใช้ชีวิตเอื่อยๆ ให้สมองได้พักผ่อน
ในรอบนี้เป้าหมายของเราคือ Cape Nidhra โรงแรมหรูขนาดเล็กใจกลางเมืองหัวหิน ที่มีเสน่ห์ตรงสระว่ายน้ำส่วนตัวทุกห้อง โดยห้องที่เราเลือกในครั้งนี้ก็คือ Sky Pool Suite ที่ไม่ค่อยมีคนรีวิว และคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน (ความจริงนี่คือไทป์ถูกสุด)
โรงแรม Cape Nidhra (เคปนิทรา) จะมีห้องพักทั้งหมด 6 แบบ โดยสามารถสรุปจุดเด่นออกมาได้ดังต่อไปนี้
- Sky Pool Suite = ห้องที่เลือกมารีวิว ถูกสุด มีสระ
- Deluxe Sky Pool Suite = มีทางเดินจากสระเข้าห้องน้ำได้เลย ขนาดสระพอๆ กับข้อ 1 ราคาแพงขึ้นนิดหน่อย
- Garden Pool Suite = ห้องชั้นล่าง สระใหญ่โคตร ภายในตกแต่งไม่เหมือน 1,2 ราคาเท่ากับข้อ 2
- Moonlight Pool Suite = เหมือนข้อ 1,2 แต่มีดาดฟ้าให้ขึ้นไปนอนดูดาว
- Family Pool Suite = ห้องมหึมาสำหรับครอบครัว สระใหญ่เท่า 1,2
- Nidhrarom Suite = ตัวท็อปของโรงแรม ราคาหมื่นอัพต่อคืน เป็นการรวบข้อดีจาก 1-5 เอาไว้ด้วยกัน
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่ในห้องพัก (แต่ระเบียงไม่รู้) และนำสัตว์เลี้ยงเข้ามา จริงๆ ผมแอบเห็นรีวิวบนเว็บพันทิปคนนึงพาหมาตัวเล็กๆ ไป คิดว่าทางโรงแรมคงไม่เห็น เอาเป็นว่าถ้าเห็นใจแขกคนอื่นก็อย่าซุกซ่อนพาไปเลยครับ
เช็คอินเดินเข้าห้อง
ถ้าเอารถส่วนตัวมา ทางโรงแรมมีที่จอดรถใต้ดินให้ แต่ถ้าเป็น High Season อาจจะไม่พอเพราะไม่ได้เตรียมไว้เยอะเหมือนโรงแรมใหญ่ ซึ่งตรงนี้ถ้าแจ้ง รปภ. ว่ามาพักที่โรงแรม เค้าจะแจ้งให้พนักงานขนกระเป๋ามารับเราที่จอดรถเลย
ขั้นตอนการเช็คอินก็แค่ยื่น Booking Number พร้อมบัตรประชาชน แล้วระหว่างนั้นทางโรงแรมก็จะนำขนมต้อนรับมาให้เราทานฆ่าเวลา ผมพลาดตรงที่หยิบขนมผิงติดคอไปหน่อย เลยอดกินอย่างอื่นด้วยเลย
หลังจากเช็คอินเสร็จเจ้าหน้าที่ก็จะพาเราไปที่ห้อง พร้อมแนะนำการข้อมูลที่ควรทราบ เช่นเวลาอาหารเช้า เวลาเปิด-ปิด ระบบน้ำวนในสระ แล้วก็มินิบาร์
ความประทับใจแรกคือห้องนี้ทำเพดานสูงมาก ทำให้รู้สึกโปร่งโล่งอย่างที่ไม่เคยเจอในชีวิตประจำวัน คาดคะเนด้วยสายตาน่าจะสัก 3 เมตรได้
เตียงนอนในห้องนี้จะเป็นทวินเบดสองเตียงวางชิดกัน ซึ่งไม่ได้ชิดกันเฉพาะกิจแต่อย่างใด เหมือนจงใจเสียมากกว่า อาจจะต้องการให้แขกได้ความโอ่โถอย่างถึงที่สุด ไม่ต้องมานอนเบียดกันบนเตียงคิงไซส์ เวลาดิ้นก็ไม่กระเทือนถึงกัน อย่างไรก็ตามรอยต่อก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคหนักหนาอะไร ถ้าจะนอนติดกัน
สำหรับหมอนจะมีให้คนละสองลูก เล็กหนึ่งใหญ่หนึ่ง ระดับความนุ่มต่างกันเล็กน้อย เลือกหนุนกันได้ตามใจชอบ ส่วนเบาะรองนั่งปลายเตียงอันนี้ไม่รู้มีไว้ทำอะไรเหมือนกัน
อีกฝั่งนึงจะเป็นโซฟาไว้นั่งทำกิจกรรมเอกเขนกทั่วไป ตรงนี้ที่ผมว่าทางโรงแรมทำมาแปลกๆ เพราะมันนั่งดูทีวีไม่ได้ เนื่องจากโต๊ะวางทีวีจะอยู่อีกฝั่งซึ่งค่อนข้างไกล (จุดที่ยืนถ่ายรูปด้านบนนี่แหละ) แล้วก็ไม่ได้ให้ความสบายเท่าที่ควร
อีกจุดหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือสัญญาณ Wi-Fi ยอมรับว่าทางโรงแรมซ่อน Router ได้เนียนจริงๆ เดินหาเท่าไรก็ไม่เจอ เลยได้แต่เก็บเอาข้อมูลมาให้เช็คกันในรูปด้านบน จากห้อง 126 โดยการใช้งานทั่วไปก็เสถียรดี ทุกคนจะได้แบนด์วิธ 10 Mbps ผมลองโหลดเกมเล็กๆ บน Steam มาเล่นความเร็วเฉลี่ยก็วิ่งประมาณ 1.2 Mb/s นับว่าหายห่วงถ้าจะนั่งเล่นเฟสบุ๊คไป แช่น้ำไป
เปิดประตูไปดูสระน้ำที่ระเบียง
ด้านนอกระเบียงคือสระน้ำขนาด 2.4 x 4.2 เมตร ลึก 1.1 เมตร เป็นระบบน้ำวนอัตโนมัติ ทางโรงแรมจะเปิดจากุซซี่ให้เป็นเวลา ตรงนี้ผมจำเวลาที่แน่นอนไม่ได้ แต่น่าจะประมาณ 10.00 – 21.00 น. เน้นเอาไว้แช่ผ่อนคลาย ถ้าจะว่ายจริงจังควรไปสระใหญ่ของโรงแรม
ด้านนอกมีเดย์เบดให้นอนเล่นหลังจากแช่นำ้จนเหนื่อย แล้วก็มีพัดลมแขวนเพดานให้ด้วย แต่ช่วงที่ไปไม่ได้เปิดใช้งานเลยเพราะฝนตก อากาศเย็น ขึ้นจากสระได้เมื่อไรก็รีบเข้าห้องกันแล้ว ไม่มีอารมณ์นอนตากลม
สระที่ระเบียงมีความเป็นส่วนตัวขนาดไหน?
เนื่องจากห้องทุกห้อง จะหันไปในทิศทางเดียวกันหมด คือทิศของที่ดินส่วนบุคคลข้างโรงแรม ซึ่งไม่ค่อยมีรถเข้าออกเลยแทบทั้งวัน (ลองดูที่ Street View ด้านบนก็ได้ครับ) ไม่แน่ใจว่าเป็นโชคดีของทางโรงแรมที่เจ้าของยังไม่ปล่อยให้ใครซื้อไป หรือตัวโรงแรมได้ทำการเช่าเอาไว้เพื่อความเป็นส่วนตัวของแขกอยู่แล้ว เพราะถ้าเกิดที่โล่งๆ ตรงนี้กลางเป็นสิ่งปลูกสร้างขึ้นมาล่ะก็ บอกเลยว่าความเป็นส่วนตัวของแขกจะลดลงมากมายเลย
ห้องน้ำขนาดใหญ่เท่าห้องนอนใน กทม. พร้อมแยกส่วนอ่างอาบน้ำ, ห้องอาบน้ำ และสุขา
เป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ห้องน้ำมีพื้นที่กว้างขวางและแยกส่วนการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีอ่างหินขัดขนาดใหญ่ไว้ให้นอนแช่น้ำตรงกลางห้อง โดยเว้นหลืบชักโครกเล็กๆ ไว้นั่งคลายทุกข์ในมุมห้อง
มองย้อนกลับมาอีกฝั่งจะเป็นห้องอาบน้ำพร้อมฝักบัวและ Rain Shower ตรงนี้ถึงกับมีป้ายเตือนแปะไว้ด้านในว่า Caution Hot Water เพราะน้ำร้อนเค้าร้อนจริง เปิดนิดเดียวก็เนื้อแทบสุก กว่าจะปรับให้เข้าที่ได้ต้องใช้เวลาพอสมควร
ตรงกันข้ามกับอ่างน้ำก็จะเป็นโซนอ่างล้างหน้าแบบคู่ พร้อมกระจกบานใหญ่ไว้สำหรับส่องดูสภาพหน้าตาของอีกฝ่ายเพื่อช่วยกันเช็คความเรียบร้อย อ่อลืมบอกไป เราสามารถเดินเข้าห้องน้ำได้สองทางซ้ายขวา ผ่านประตูบานเลื่อนไม้ที่ไม่มีสลักล็อค ถ้าไม่ได้มากับคนรู้ใจก็ควรให้สัญญาณกันสักนิด ขณะเข้ามาทำธุระส่วนตัว
ความเก๋อีกอย่างของโซนห้องน้ำ คือบริเวณฝั่งติดทางเดินเข้าห้องจะเป็นตู้เสื้อผ้าแบบเปิดเอาของได้ทั้งสองฝั่ง ทำให้ไม่ต้องเดินผ่านห้องนอนเพื่อมาเอาเสื้อผ้า
ทั้งหมดนี้ก็คือข้อมูลโดยสังเขปของห้อง Sky Pool Suite ที่น่าจะพอช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าคุ้มค่าพอจะอัพเกรดไปหา Garden Pool Suite หรือ Deluxe Sky Pool Suite หรือไม่ ผมมองว่ามันเป็นการจ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อยกระดับอ็อพชั่นห้องพัก คือถ้าอยากได้สระใหญ่ก็ต้องไป Garden หรือถ้าอยากได้ทางเดินเข้าห้องน้ำ พร้อมสระใหญ่อีกนิดจากห้องระดับเริ่มต้น ก็ไป Deluxe นอกนั้นลักษณะการตกแต่งห้องค่อนข้างคล้ายกันหมด
สรุป
ถ้าที่พักที่กำลังมองหามีจุดแข็งต่อไปนี้
- มีสระส่วนตัว
- บรรยากาศเงียบสงบ วิวที่มองออกไปจากห้องไม่ชนกับอาคารอื่น
- ห้องกว้าง เพดานสูงโปร่ง
- พนักงานถูกเทรนมาดีมาก คือไหว้แขกทุกคนตั้งแต่ รปภ. ยันช่างไฟ
- ทำเลดีไม่ไกลตลาด มีเซเว่นอีเลฟเว่นอยู่ฝั่งตรงข้าม
แล้วรับได้กับข้อเสียประมาณนี้
- ไลน์อาหารเช้าขนาดกระทัดรัด มีของคาวให้เลือกทานน้อยไปหน่อย
- ความแปลกประหลาดในห้องพักที่กล่าวถึงด้านบน (ที่วางโซฟา, ประตูออกไประเบียง)
- ที่จอดรถน่าจะไม่พอ ถ้าเป็นช่วง High Season หรือวันหยุดยาว
Cape Nidhra ก็น่าจะเป็นโรงแรมที่เหมาะกับคุณ ถึงแม้ว่าในราคาเท่าๆ ในโซนตัวเมืองหัวหินยังมีตัวเลือกอีกมากมายอย่าง Intercontinental, Marriot, Amari, ฯลฯ แต่โรงแรมขนาดใหญ่แบบนั้นน่าจะหามุมสงบยากเสียหน่อย เพราะจำนวนห้องพักจะเยอะกว่า ก็ต้องลองไตร่ตรองความต้องการกันดู เพราะราคาโรงแรมระดับนี้
“ได้นอนสักครั้ง จะตั้งใจทำงาน(เก็บเงิน) ไปอีกนาน”