เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือมีชื่อแบบทางการว่า “เขื่อนรัชชประภา” เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ขนาดใหญ่ ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปพักผ่อนเที่ยวชมบริเวณอ่างเก็บน้ำขนาด 185 ตารางกิโลเมตรได้
การเดินทางไปยังที่พัก นักท่องเที่ยวจะต้องมารวมกันที่ท่าเรือเทศบาลบ้านเชี่ยวหลาน ซึ่งถ้าขับรถมาเองสามารถตามหมุดใน Google Map มาได้เลย พิกัดถูกต้องเพราะลองมาแล้ว
เมื่อมาถึงที่ท่าเรือ ก็ให้รีบหาที่จอดและติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ของแพที่เรามาพัก สำหรับกรุ๊ปของผมเรานอนกันที่ “แพคีรีวาริน” ซึ่งตอนแรกทางรีสอร์ทได้แจ้งว่าให้มาถึงราวๆ 11 โมง แต่กว่าจะได้ออกเดินทางก็ปาเข้าไปเกือบๆ เที่ยงแล้ว
ที่นั่งบริเวณท่าเรือมีไม่มากนักยิ่งเป็นฤดูท่องเที่ยวปริมาณคนก็ยิ่งเยอะ ต้องอาศัยความสามารถพอสมควรจึงจะได้ที่นั่งรอเหมาะๆ ไม่ร้อนจนเกินไป ไม่งั้นก็ต้องยอมกินอาหารที่ร้านอาหารบริเวณท่า ซึ่งราคาก็ค่อนข้างสูงแบบเป็นอันรู้กัน เพราะอยู่กลางแหล่งท่องเที่ยว
เมื่อเรือออกจากท่า เรามีเวลาประมาณ 15 นาทีเพื่อที่จะเสวยสุขกับโลกออนไลน์ หรือบอกลาคนรักผ่านเสียงโทรศัพท์ เมื่อหลุดเขตสัญญาณสิ่งที่ทำแก้เบื่อได้ก็คือการดูวิว หรือนั่งเล่นเกมบนมือถือแบบออฟไลน์เท่านั้น ถ้าจะให้นั่งคุยกันก็คงยาก เพราะเรือยังไม่มีเครื่องไฮบริด เสียงดังสะใจตลอดเวลา
เรือโดยสารที่เกือบทุกรีสอร์ทใช้งานมีลักษณะเป็นเรือหางยาวลำใหญ่ 1 เครื่องยนต์ แม้น้ำในเขื่อนจะไม่มีคลื่นลมแต่ก็กระเด็นมาโดนตัวคนนั่งเป็นระยะๆ ถ้าใครมีประสบการณ์กับคลองแสนแสบ คงจะคุ้นชินกันดี
ระหว่างทางคนขับเรือพาเราแวะจุดที่เป็นแลนด์มาร์คของเขื่อน ที่มาของคำว่า “กุ้ยหลินเมืองไทย” หรือที่เรียกว่าเขาสามเกลอ แต่เวลานี้เที่ยงตรงในเดือนที่ร้อนที่สุดของปี สมาชิกบนเรือก็หมดอารมณ์จะถ่ายรูปละครับ วนผ่าน 1 รอบละเดินทางต่อไปยังที่พักทันที
เราใช้เวลาทั้งหมดเกือบๆ 2 ชั่วโมง ในการเดินทางจากท่าเรือมาถึงยังที่พัก เมื่อมาถึงก็พบกับความวุ่นวายบริเวณล็อบบี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลท่องเที่ยวของไทย โชคดีที่ห้องอาหารอยู่ใต้ชายคาเดียวกันกับเคานต์เตอร์เช็คอิน ก็เลยรอไปกินไป อาหารกลางวันเป็นอาหารไทยธรรมดา พวกผัดผัก, ไข่เจียว, แกงเหลืองแบบทางใต้ ซึ่งก็สามารถเติมได้ไม่อั้นถ้าท่านกินไหว
กรุ๊ปของเราเดินทางมาทั้งหมด 9 คนด้วยกัน เลยได้พักเป็นบ้าน Deluxe Family ทั้งหลัง 1 หลัง รวมกับชั้นบนของบ้านหลังติดกัน ตัวที่พักใช้ห้องน้ำกับห้องอาบน้ำแยกจากกันระหว่างชั้นบนและล่าง สิ่งที่เซอร์ไพร์สเราสุดๆ ก็คือแต่ละห้องจะมีพัดลมให้ 1 ตัวถ้วน….แม่เจ้า! เรื่องนอนพัดลมพอรับได้ แต่ให้พัดลมห้องละตัวในช่วงอากาศร้อนแบบนี้คือที่สุดแล้วจริงๆ
หลังทานข้าวพอให้แดดร่ม ก็ได้เวลาลงเล่นน้ำ เราสามารถเช่าเรือคายัคจากบริเวณล็อบบี้มาพายเล่นได้ โดยต้องวางมัดจำค่าไม้พาย 500 บาท เพราะเป็นอุปกรณ์ชิ้นเดียวที่หล่นน้ำแล้วจมหายไปได้
เป็นครั้งแรกที่ได้ทดลองว่ายน้ำจืดแบบอิสระไม่มีขอบสระมากั้น ตรงนี้แนะนำให้ใส่ชูชีพไว้ตลอด เพราะน้ำลึกมาก ๆ และแม้จะไม่ใช่กลางทะเลที่มีคลื่นลมแปรปรวน แต่กระแสน้ำบริเวณรีสอร์ทก็สามารถลากเราไปไกลได้เช่นเดียวกัน ฉะนั้นปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุดครับ
ช่วงเย็นรีสอร์ทจะพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินบริเวณเกาะลอยกลางน้ำ ซึ่งบริเวณนี้เราก็จะพบกับเพื่อนบ้านจากรีสอร์ทอื่นมากมาย
กลับจากดูพระอาทิตย์ก็จะได้เวลาอาหารเย็นพอดี เช่นเคยครับว่าสามารถเติมข้าวและกับได้ ซึ่งเมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าบริเวณโดยรอบรีสอร์ทก็จะมืดสนิทจนมองอะไรแทบไม่เห็น
หลังกินข้าวก็ได้เวลาแยกย้ายเข้าที่พัก แน่นอนครับ เมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ต สิ่งที่เราจะทำกันก็คือการหันหน้าเม้าท์มอย หรือตั้งวงคณิตคิดเร็ว เรียกเอาบรรยากาศเก่า ๆ ก่อนที่โลกโซเชียลจะเข้ามามีบทบาทได้พอสมควร จุดนี้ผมว่าถ้ามากับแก๊งเพื่อนสนิทน่าจะสนุกไม่น้อย เพราะเราคงได้คุยกันโดยที่ทุกคนมีปฏิสัมพันธ์แบบ 100% ไม่ใช่คุยไปเล่นสมาร์ทโฟนไป
อย่างที่ทราบกันว่าเรามีทรัพยากรพัดลมแค่ห้องละตัว ผมเองคาดหวังว่าตกเย็นแล้วอากาศจะดีขึ้น แต่ไม่ใช่เลยสำหรับหน้าร้อน อุณหภูมิห้องยังคงระอุไม่ต่างกัน เราโดนพนักงานที่หน้าบูธเป่าหูว่าตกกลางคืนแล้วลมจะเย็น บอกเลยว่าช่วงที่เข้าพักไม่มีสักแอะ ยิ่งคุณนั่งรวมกันมากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการเพิ่มอุณหภูมิห้องให้ร้อนแรงมากเท่านั้น ที่สำคัญคือพัดลมเป็นแบบติดผนัง เราไม่สามารถยกมาผสานพลังลมได้ เรียกได้ว่าใช้ชีวิตเหมือนย้อนอดีตจริง ๆ ต่างกันที่อุณหภูมิเป็นแบบปัจจุบัน
หลังจากผ่านคืนอันโหดร้ายมาได้ ช่วงเช้ามืดรีสอร์ทจะพาเราไปชมพระอาทิตย์ขึ้นและหมอกยามเช้า สิ่งเดียวที่ทำผมหงุดหงิดมาตั้งแต่ท่าเรือ คือระบบการจัดคิวขึ้นเรือที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ โดยเจ้าหน้าที่จะจัดให้เราขึ้นเรือลำเดิมตลอด ห้ามเปลี่ยนลำ ตรงนี้ผมว่ามันไม่ค่อยจะมีเหตุผลเท่าไรสำหรับการนั่งไปเที่ยวบริเวณรอบรีสอร์ท แทนที่จะจัดเรือตามกรุ๊ป ผมว่าการจัดเรือตามรอบเวลาน่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า มาก่อนก็ขึ้นไปนั่งพอถึงเวลาก็ออกเลย คนมาทีหลังก็ขึ้นลำถัดไป คนที่มาก่อนจะได้มาต้องมาคอยเพื่อนอีกกรุ๊ปนึง
อากาศยามเช้าจะดีมากหากท่านมาช่วงฤดูหนาว แต่สำหรับหน้าร้อนเราจะรู้สึกเหนียวตัวมากกว่า สำหรับการชมหมอกจะเป็นการนั่งเรือวนไปรอบ ๆ บริเวณรีสอร์ท ถ้าโชคดีก็อาจจะได้เจอสัตว์ป่าตามริมฝั่ง แต่ส่วนใหญ่จะเตลิดหนีไปเพราะเสียงเรือก่อนจะได้เห็นตัว
กลับจากชมหมอกก็เป็นเวลาอาหารเช้า มื้อนี้เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ไลน์อาหารก็เป็นพวกข้าวต้มหมู, หมี่ผัดสลัดผักทั่วไป เป็นมื้อสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ
เมื่อเก็บของเสร็จเรียบร้อยเราก็มารวมกันที่บริเวณล็อบบี้ และก็เช่นเคย เราต้องมายืนรอเรือประจำกรุ๊ปของเรา แล้วก็ต้องรอเพื่อนร่วมเรือมาพร้อมถึงจะออกเดินทางได้ ที่แย่กว่านั้นคือโซนร่มที่สามารถนั่งรอได้มีน้อยมาก แนะนำว่าถ้าทางรีสอร์ทเริ่มตั้งตัวได้เมื่อไร ควรต่อหลังคาบริเวณท่าเรือก่อนเป็นอันดับแรกเลยครับ
พอถึงท่าเรือก็มีเรื่องให้ปวดหัวอีกเมื่อคนเรือนำกระเป๋าขึ้นเรือมาไม่ครบ สาเหตุเกิดจากช่วงที่อยู่บริเวณท่าเรือตรงรีสอร์ท คนขับเรือยกกระเป๋าของแขกกรุ๊ปอื่นปนมาด้วย ซึ่งเจ้าของก็มายกกระเป๋ากลับไปคืน แต่เค้าดันหยิบเกินเอาของคนในกรุ๊ปผมไปด้วย จนต้องโทรเคลียร์กันนานเกือบครึ่งชั่วโมงจึงเจอกระเป๋าตามมากับเรือลำถัดมา แล้วก็โชคดีที่คนส่งเรือบริเวณท่า สามารถสื่อสารกับทางรีสอร์ทผ่านทางวิทยุสื่อสารได้ เลยสามารถเช็คจำนวนกระเป๋าที่เหลือตรงรีสอร์ทได้ทันทีไม่จำเป็นต้องนั่งเรืออีกชั่วโมงกว่ากลับไปดูกระเป๋า
สรุปจบทริปนี้ได้เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้ดีเลิศ และก็ไม่ได้แย่จนทนไม่ไหว(ยกเว้นอุณหภูมิห้อง) นาน ๆ เราจะได้กลับมาใช้ชีวิตแบบย้อนยุคเหมือนคนโบราณก็ทำให้เรามีเวลาได้พูดคุยกับคนเยอะขึ้น แต่ถ้าถามว่ามีความน่ากลับมาเยี่ยมเยียนอีกครั้งไหม ผมว่าสเน่ห์ของเชี่ยวหลานยังมีให้เราค้นหาอีกเยอะ ฉะนั้นถ้าจะกลับไปเยี่ยมเยือนอีกรอบก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ครั้งหน้าผมจะเลือกพักรีสอร์ทอื่นบ้าง เพื่อที่จะได้เสพย์บรรยากาศที่ต่างออกไป ซึ่งก็หวังเล็กๆ ว่าจะได้พัดลมมากกว่า 1 ตัวต่อห้องนอน 4 คน(ฮา)