ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะคุณแม่ล้วนๆ หลังจากเยือนประเทศโซนเอเชียตะวันออกที่ดัง ๆ จนเกือบหมด ก็ได้เวลาวกกลับมาหาประเทศเพื่อนบ้านเราบ้าง เพราะเวียดนามก็มีภูมิประเทศและสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจเยอะอยู่ ที่สำคัญนั่งเครื่องชั่วโมงกว่าก็พร้อมเที่ยวแล้ว
แม้ว่าบนเว็บพันทิปจะมีรีวิวเที่ยวเวียดนามมากมาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรีวิวแบบไปเองไม่ง้อทัวร์ ไม่ก็ไปซื้อทัวร์ที่โน่น ไม่ค่อยเห็นคนรีวิวแบบที่เป็นทัวร์จากไทยเท่าไร เผอิญได้จังหวะเลยขอมาแชร์ประสบการณ์ให้ทุกคนได้อ่านกัน
นิงห์บิงห์(ฮาลองบก)-ฮาลองเบย์-ฮานอย สามแลนด์มาร์คเวียดนามเหนือ
โปรแกรมที่เราเลือกไปคือสเต็ปยอดฮิตของการมาทัวร์เวียดนามเหนือในขั้น Beginner ก็คือการแวะสามจุดท่องเที่ยวยอดนิยมด้านบน เพราะทั้งสามที่ไม่ไกลกันมาก และมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เยี่ยมชม สำหรับระดับ Expert ก็จะเป็นซาปา นาขั้นบันได อะไรแบบนั้นไป ซึ่่งนั่งรถนานสะใจกว่า ซึ่งจะแลกมาด้วยวิวสวย ๆ พร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นกว่า
สำหรับลำดับโปรแกรมของทัวร์บริเวณนี้ส่วนใหญ่ จะเริ่มจากลงเครื่องที่สนามบินนอยไบในตอนหัวค่ำ เสร็จแล้วตีรถยาวไปที่เมืองนิงห์บิงห์ (Ninh Bình) เพื่อพัก 1 คืน จากนั้นก็จะขยับไปที่ฮาลองเบย์ (Hạ Long Bay) แล้วค่อยวกกลับมายังเมืองหลวงฮานอยในวันก่อนสุดท้าย และเดินทางกลับที่สนามบินเดิมของเย็นวันถัดไป
ค่าใช้จ่ายต่อหัว?
ผมซื้อทัวร์ที่บูธของ Quality Express แต่จริง ๆ แล้วทางบริษัทก็จะทำการโอนให้กับบริษัทอื่นที่ทางพนักงานขายแจ้งว่าเป็นบริษัทในเครือชื่อ Go Holiday ซึ่งจะเป็นคนนำเราไปเที่ยวแทน ไม่ใช่ในนามของ Quality Express
ข้อจำกัดของทริปนี้ คือต้องตรงวันหยุดช่วงสงกรานต์ แน่นอนว่าเทศกาลแบบนี้ทัวร์ก็จะโขกราคาเราได้เต็มที่เพราะคนไทยจะแย่งกันไปเที่ยว ขายท่าไหนก็กำไรอยู่ดี ศิริรวมแล้วทั้งหมดก็หัวละ 17,990 บาท ถ้าจำไม่ผิด บินด้วย Qatar ซึ่งก็ถือว่าเป็นโปรแกรมที่บินหรูเกินหน้าเกินตาโปรแกรมอื่นพอสมควร ดูเผิน ๆ แล้วค่อนข้างแพงทีเดียวเพราะถ้าไม่ใช่เทศกาล ราคานี้ไปฮ่องกง หรือสิงคโปร์ได้สบาย
เหินฟ้าสู่สนามบินนอยไบ
เที่ยวบินที่เราใช้เดินทาง จริง ๆ แล้วเป็นหนึ่งในจุดพักของรูท DOH-HAN แต่แม้ว่าเครื่องจะบินมาจากโดฮาเป็นเวลานาน แต่ตัวเบาะก็สะอาดสะอ้านมากเมื่อพวกเราถูกบอร์ดขึ้นเครื่อง สมกับเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลก
จากสุวรรณภูมิถึงนอยไบ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง เกริ่นไว้เป็นข้อมูลก่อนว่าสนามบินนอยไบนั้นถูกออกแบบและก่อสร้างโดยบริษัทรับเหมาก่อสร้างของญี่ปุ่น ฉะนั้นเมื่อเราก้าวเข้าสู่สนามบิน เราจะได้บรรยากาศเหมือนเครื่องเพิ่งลงที่นาริตะอะไรประมาณนั้น เอกลักษณ์เด่น ๆ ก็คือร้านขายของฝากและโถฉี่ผู้ชายทรงยาว อันเป็นซิกเนเจอร์ของห้องน้ำในสนามบินญี่ปุ่น
แม้ว่าจะหรูหราและดูมินิมอลแบบญี่ปุ่น แต่เวลาที่ใช้ในการโหลดกระเป๋าผู้โดยสารนั้นนานมาก กว่าจะได้ของครบทั้งไฟล์ทก็กินเวลาไปชั่วโมงกว่า ๆ นับตั้งแต่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางแบบเร่งรัดของวันแรก
ไกด์ท้องถิ่นและพาหนะประจำทริป
ตลอดทริปนี้เราจะเดินทางกันด้วยรถโค้ชขนาดมาตรฐาน ซึ่งทั้งกรุ๊ปก็นั่งกันแบบหลวม ๆ เพราะคนมากันไม่เยอะมาก สิ่งอำนวยความสะดวกบนรถก็เหมือน ๆ กับรถทัวร์มาตรฐานทั่วไป เช่นที่วางของเหนือศีรษะ และกระเป๋าตาข่ายวางของหลังเบาะ
ไกด์ท้องถิ่นของเราเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่ชื่อไทยว่าฟ้า เธอพูดไทยได้คล่องแคล่วซึ่งเป็นผลพวงจากการที่เธอเคยได้มาทำงานในเมืองไทยอยู่พักหนึ่ง แต่สำหรับเรื่องวาทะศิลป์ในการพูดและข้อมูลที่ได้รับถือว่าไม่ค่อยแน่นเท่าที่ควร ทำให้หลายคนชอบจะเล่นเกมซ่อนตาดำกับเธอมากกว่าฟังข้อมูลที่เป็นประโยชน์
มื้ออาหาร
กว่าจะถึงภัตตาคารวันแรกก็เป็นเวลาประมาณ 21.00 น. เพราะเราต้องฝ่ารถติดจากใจกลางเมืองฮานอยจนเสียเวลาไปพอสมควร นั่นทำให้อาหารบนโต๊ะเย็นชืด ถึงตรงนี้หลายคนคงคาดว่าจะได้เห็นกับข้าวที่ทำจากหมูยออย่างที่บ้านเรานำมาประยุกต์กัน แต่สิ่งที่เราได้ก็จะเป็นพวกไข่เจียว, ผัดผัก แล้วก็ซุป รสชาติแรกออกจะชืด ๆ ไม่ค่อยจัดจ้าน ก็ต้องพึ่งพาน้ำพริกนรกที่ไกด์พกมาช่วยคลุกเคล้ากันไป
หลังจากนี้อาหารภัตตาคารจะออกแนวนี้หมด มีแซมอาหารไทยและบุฟเฟ่ต์นานาชาติในช่วงวันที่กลับมาฮานอย รสชาติโดยรวมของทุกมื้อนับว่าธรรมดา ไม่ถึงกับประทับใจ แต่ก็ไม่ได้แย่จนกินไม่ได้
ที่พัก
บรรยากาศของที่พักส่วนใหญ่จะเป็นเหมือนโรงแรมตามต่างจังหวัดบ้านเรา คือเป็นห้องสี่เหลี่ยมมีเตียงและห้องน้ำ ซึ่งจริง ๆ โรงแรมที่ดี ๆ คงมีอยู่ทั่วไป แต่ด้วยความที่ทัวร์นี้บิน Qatar Airways บวกกับเป็นทัวร์ช่วงสงกรานต์ ฉะนั้นเมื่องบทั้งหมดถูกเทไปที่สายการบิน โรงแรมตลอดทริปเลยค่อนข้างจะกระท่อนกระแท่น จนถึงแย่ในคืนที่ฮาลองเบย์ คือโรงแรมเก่าตื่นเช้ามาก็เจอว่าตึกร้าวอีก ถือว่าเป็นจุดอ่อนของทัวร์นี้ครับ
สิ่งที่ประทับใจจากทัวร์
คงเป็นที่สุสานโฮจิมินห์ ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นสุสานเหมือนฮวงซุ้ยบรรพบุรุษ แต่ที่ไหนได้ทางเวียดนามคอยดูแลศพของบุคคลสำคัญท่านนี้ให้คงสภาพปกติอยู่ตลอดเวลา และเปิดให้คนทั่วไปรวมถึงนักท่องเที่ยว ได้เข้าไปเคารพศพ ซึ่งเป็นโปรแกรมแรกของวันสุดท้าย ไกด์จึงต้องรีบปลุกเราให้ตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อย เพื่อที่จะได้มาทันต่อแถวพิเศษที่ทางรัฐบาลเวียดนามจัดคิวไว้ให้ ตรงนี้ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของการมากับทัวร์เลยก็ว่าได้ เพราะถ้ามากันเองคงต้องรอคิวยาวเป็นวันกว่าจะได้เข้าไปด้านใน
แต่ก็นั่นแหละครับ ที่พิเศษ ก็ย่อมมีคนหมั่นไส้ ซึ่งก็คือกรุ๊ปทัวร์จีนที่มาชนแถวกับเราพอดี พอมาเจอแถวของกลุ่มทัวร์เรา พวกนั้นก็จะทำท่าทางไม่พอใจ เรียกว่าถึงจะฟังไม่ออกแต่ก็รู้สึกเหมือนโดนด่าแม่อยู่ (แม่กูก็มาด้วยนะ) อันนี้เรียกว่าก็ต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป เพราะไกด์เองก็คอยเราอยู่ด้านนอก ไม่มีเวลาจะมาช่วยอธิบาย
สิ่งที่น่าประทับใจจากสุสานคือมนต์ขลังของสถานที่ซึ่งมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติเวียดนาม คือเดินเข้าชมแล้วจะรู้สึกขนลุก พอออกมาด้านนอกก็จะเจอกับประโยคที่ลุงโฮจิมินห์ได้ปราศรัยประกาศอิสรภาพต่อหน้าประชาชนชาวเวียดนามในวันที่ 2 กันยายน ปี ค.ศ. 1945 เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของสถานที่แห่งนี้ให้มากขึ้นไปอีก
สิ่งที่ทัวร์น่าจะต้องปรับปรุง
อย่างแรกเลยคือการเลือกที่พัก ผมคิดว่าน่าจะมีโรงแรมในเวียดนามที่ดูดี สะอาด แม้จะไม่ต้องใหม่เหมือนเพิ่งเปิด แต่อย่างน้อยกำแพงก็ไม่ร้าวจนน่ากลัวเหมือนโรงแรมในคืนที่สองที่ฮาลองเบย์
ถัดมาคือไกด์ท้องถิ่น ถ้าจะให้ลูกทัวร์เข้าถึงความสำคัญของสถานที่ต่าง ๆ ควรมีบิ้วต์เกริ่นประวัติให้ฟังกันเสียหน่อย แต่ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจว่าไกด์เองเห็นลูกทัวร์หลับยาวบ่อย ๆ คงจะเกรงใจและไม่กล้าปลุกขึ้นมาฟังเรื่องน่าเบื่อ แต่ผมว่าถ้าไกด์มีความเป็นมืออาชีพพอ การสร้างความน่าสนใจให้กับเรื่องราวคงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถที่จะทำให้เรื่องราวดูน่าสนใจอย่างแน่นอน
เรื่องสุดท้ายคือคุณพ่อผมลืม iPad ไว้บนเครื่องไฟล์ทขาเข้าประเทศ ทันทีที่นึกออกก็รีบแจ้งหัวหน้าทัวร์คนไทยให้ช่วยประสานงานไปที่เค้าเตอร์ของสายการบินที่สนามบินทันที ซึ่งทางนั้นก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะช่วยตามเรื่องให้ ซึ่งวันรุ่งขึ้นก็มารายงานว่าตามไม่เจอจริง ๆ เพราะถามที่เค้าเตอร์ให้เรียบร้อยแล้ว
แต่ด้วยความที่เราเป็นคนหัวดื้อจึงสงสัยว่าสายการบินระดับ Qatars ไม่น่าจะพลาดเช็ควัตถุต้องสงสัยก่อนจะทำการบินกลับโดฮา ในวันกลับหลังจากโหลดกระเป๋าเรียบร้อย เลยลองถามกับพนักงานที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นหัวหน้าพนักงานภาคพื้นของสายการบิน พอเค้าฟังเรื่องเสร็จก็ให้เขียนบรรยายลักษณะ iPad ที่ลืมไว้ทันที ว่ารุ่นไหน สีอะไร ใส่เคสไหม จำได้ไหมว่าภาพหน้าจอ เป็นรูปอะไร แล้วก็เดินหายไปที่ออฟฟิศ
สักพักเค้าก็เดินกลับมาพร้อมกับ iPad ของคุณพ่อจริง ๆ ผมเลยรีบเข้าไปกดรหัสปลดล็อคเครื่องอย่างไม่รอช้า เดชะบุญที่ iPad ยังพอมีแบตหลงเหลือให้เราสามารถเปิดรูปของคุณพ่อเพื่อยืนยันการเป็นเจ้าของให้เค้าดูได้ ถือว่าเป็นโชคในโชคกันไป แน่นอนว่าพี่ไกด์ตัวดีของเราก็เดินมาแสดงความยินดีทันที ว่าโชคดีนะที่เค้าหาเจอ ตรงนี้ผมคิดว่าเค้าน่าจะไม่ได้เช็คกับเค้าเตอร์สายการบินจริง ๆ ในตอนที่มาแจ้งผลกับเรา เพราะคิดว่าคงเป็นความรับผิดชอบของเราเอง เค้าไม่มีน่าที่จะมาดูแลของให้กับลูกทัวร์ทุกคน ก็ยอมรับในเรื่องความสะเพร่าของคุณพ่อ แต่ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะบอกกันแต่แรกว่าให้มาลองดูวันกลับ ไม่ใช่ตัดความหวังให้เป็น 0 กันแต่เนิน ๆ
ถ้ามาเวียดนามอีกรอบ จะมากับทัวร์อีกไหม ?
เวียดนามตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงพัฒนาระบบคมนาคมในประเทศ สังเกตุได้จากการที่พวกเขากำลังขยายถนนทางหลวงระหว่างจังหวัดให้กว้างกว่าเดิม ในอนาคตถ้ามีโอกาสแล้วการเดินทางง่ายขึ้น ก็น่าจะกลับมาอีกรอบอย่างแน่นอน แต่จะมากับทัวร์อีกไหม ก็คงขึ้นอยู่ว่าเรามาคนเดียว หรือหิ้วเอาบุพการีมาด้วย ถ้าอย่างหลังก็คงจะต้องเลือกใช้บริการทัวร์เหมือนเดิม เพราะถึงแม้เราจะถูกบังคับให้วิ่งไปตามโปรแกรมที่เค้าวางเอาไว้ทั้งหมดไม่มีอิสระดั่งใจอยาก แต่ก็แลกมาด้วยความสบายไม่ต้องคอยวิ่งหาร้านอาหาร หรือซื้อตั๋วเข้าสถานที่สำคัญ ๆ เรามีหน้าที่แค่เที่ยวกับช็อปปิ้งเพียงอย่างเดียว แต่คงจะต้องมีการเลือกบริษัทกันเสียหน่อย อย่างน้อยต้องไม่พาไปเผชิญโรงแรมโบราณเหมือนกับที่ผ่านมาในรอบนี้…